
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
กระดานชนวน
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) ได้อธิบายไว้ว่า
กระดานที่ใช้เขียน มีสองอย่าง สำหรับ นักเรียนชั้นแรกหัดเขียน ก ข เรียกว่า
กระดานดำ ทำด้วยไม้กระดานกว้างประมาณ ๑ คืบ ยาวประมาณ ๒-๓ ศอก หนาราว ๒ กระเบียด
ด้านที่ใช้เขียนหนังสือ ไสกบ จนเกลี้ยงเรียบ ทาด้วย เขม่าหม้อ กับน้ำข้าว
ผึ่งแดดให้แห้ง เมื่อจะลบตัวหนังสือ ที่เขียนด้วยดินสอขาว ใช้น้ำลบทำให้
กระดานเปียก ฉะนั้นจึงต้องหยุด ตากกระดาน ให้แห้งเสียก่อน แล้วจึงเรียนต่อไป
เด็กที่ขี้เกียจเรียน จะแกล้งเอาน้ำ ลบมากๆ กระดานจะได้แห้งช้า มีที่สังเกตว่า
กระดานของเด็กที่ขี้เกียจ สีดำจะจางเร็ว จนเห็นเนื้อกระดาน เรียกว่า กระดานแดง
กระดานชนวน อีกชนิดหนึ่ง สำหรับนักเรียนชั้น ๓
ทำด้วย ไม้ทองหลาง หรือไม้งิ้ว ทำให้เป็นแผ่นกระดาน กว้างศอก ยาวศอกคืบ
ที่ต้องใช้ไม้ดังกล่าว ก็เพื่อจะให้ ทารัก ติดแน่นดี (ขี้รัก ผสม ขี้เถ้าใบตองแห้ง
เรียกว่า สมุก ทาให้เป็นสีดำ) ต่อจากนั้น ใช้ผงกระเบื้องถ้วยที่ป่นละเอียด คลุกกับน้ำรัก
ทาฉาบอีกครั้งหนึ่ง ให้เรียบเสมอกัน แล้วขัดเงาด้วยหิน หรือเมล็ดสะบ้า
เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ก็ทำกรอบ
ดินสอที่ใช้เขียนกับกระชนวน ใช้ดินสอพอง
คือเอาดินสอพองแช่น้ำให้เปียก หรือโขลกให้แหลก พรมน้ำพอให้ปั้นได้ ทำเป็นแท่ง
ขนาดหัวแม่มือ ยาวไม่เกินคืบ ด้วยเหตุที่ ดินสอพองถูกน้ำแล้วเหนียว
จึงต้องคั้นน้ำใบตำลึง พรมที่กระดาน สำหรับปั้นดินสอเสียก่อน ไม่เช่นนั้น
ดินสอพองก็จะเหนียว ติดมือ ปั้นยาก เสร็จแล้วตากให้แห้ง ก็ใช้เขียนได้
เตารีด
เตารีด
อุดเตา” เป็นภาษาไทยโบราณ ใช้เรียกเครื่องใช้ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า “เตารีด”
และเป็นเตารีดที่ใช้กันในสมัยก่อนเมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว อุดเตารูปทรงน่าสนุกกลุ่มนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก
ได้รับมอบจาก ดร.วินิจ
วินิจนัยภาค เมื่อปีพุทธศักราช
๒๕๓๓ ปัจจุบันได้ทำการอนุรักษ์และเก็บรักษา ณ อาคารคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กาญจนาภิเษก จังหวัดปทุมธานี
"อุดเตา" แบบที่ ๑
ทำด้วยเหล็กและทองเหลือง
บางอันมีการตกแต่งสลักบนฝาด้านบนเป็นรูปตัวไก่ และบางอันตกแต่งหูจับเป็นลวดลายอ่อนโค้ง งดงาม
ตามจินตนาการของช่างทำอุดเตา
อุดเตากลุ่มนี้ทำด้วยเหล็ก หรือทองเหลืองทั้งอัน
บางอันมีขนาดใหญ่กว่าเตารีดไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันประมาณ ๒-๓ เท่า
มีน้ำหนักมาก เด็กๆ ยกคนเดียวแทบจะไม่ไหว
การที่ทำให้มีน้ำหนักมากๆ
นั้นเพื่อให้น้ำหนักของตัวอุดเตากดทับลงบนผืนผ้าที่จะรีดให้เกิดความเรียบ
ผนังเตาทั้งสองข้างมีลักษณะโอบเข้าไปเป็นหัวรูปทรงแหลมๆ
ตอนบนบริเวณริมหรือขอบทำเป็นลายหยักรูปฟันปลาไปตลอดแนว สูงประมาณ ๓ นิ้ว เพื่อระบายความร้อนจากถ่านก้อนกลมๆ ที่เผาไฟจนร้อนซึ่งบรรจุอยู่ภายในอุดเตา ความร้อนจากถ่านเผาไฟจะทำให้ผ้าเรียบ เช่นเดียวกับความร้อนจากขดลวดไฟฟ้าที่อยู่ภายในเตารีดไฟฟ้าในปัจจุบัน
ฝาด้านบนนั้นความกว้าง ยาว แหลม ท้ายตัดเท่าตัวอุดเตา ตรงบริเวณท้ายตัดจะมีบานพับอันเล็กๆ
ติดอยู่
มีหูขนาดค่อนข้างยาวและสูงไว้สำหรับเปิดปิดฝาได้ ยามเมื่อต้องการเติมถ่านเวลาถ่านยุบไปหลังจากรีดไปแล้วนานๆ
บริเวณหูจับจะหุ้มด้วยไม้ที่เหลาจนกลมกลึงมีขนาดพอเหมาะกับมือ
เพื่อเป็นฉนวนป้องกันความร้อนจากเหล็กที่แผ่ขึ้นมาขณะรีดผ้า เมื่อเวลาจะรีดผ้าโดยใช้อุดเตา
จะต้องมีเตาอั้งโล่เผาก้อนถ่านให้ลุกแดงตลอดเวลา
ตั้งอยู่ข้างๆ ไว้สำหรับคีบใส่ภายในอุดเตา
ถ่านที่ใช้สำหรับรีดผ้านั้น
มีความแตกต่างกับถ่านหุงข้าวที่ใช้กับเตาอั้งโล่ หรือเตาเชิงกรานทั่วๆ
ไป ถ่านที่ใช้หุงข้าวจะมีลักษณะเป็นท่อนยาวๆ เมื่อนำมาเผาไฟมักจะแตกเป็นลูกไฟเล็กๆ
กระเด็นออกมา
รวมทั้งเมื่อมอดแล้วมีขี้เถ้ามาก
แต่สำหรับถ่านรีดผ้าจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ เวลานำมาเผาไฟลูกไฟจะไม่แตกกระจาย ตลอดจนมีขี้เถ้าน้อยกว่าถ่านหุงข้าวมาก ถ่านรีดผ้าส่วนมากมักทำจากไม้โกงกาง
ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นเจริญเติบโตบริเวณป่าชายเลน นิยมนำมาเผาทำถ่านเพราะจะได้ถ่านที่มีคุณภาพดี
"อุดเตา" แบบที่ ๒ มีพวยระบายความร้อนอยู่ด้านบนของหัวเตา
อุดเตาแบบนี้จะไม่มีช่องระบายความร้อนเป็นช่องฟันปลาเหมือนกับแบบแรก
วิธีรีดผ้าโดยใช้อุดเตานั้น
เริ่มแรกก็จะติดไฟถ่านที่เตาอั้งโล่
เมื่อถ่านระอุเป็นไฟสีแดงดีแล้ว
ใช้คีมเหล็กคีบออกมาใส่ภายในอุดเตาจนเต็ม
แล้วปิดฝาขัดสลักให้ติดกับตัวอุดเตา ทิ้งให้ร้อนสักครู่จึงรีด
เมื่ออุดเตาเริ่มร้อนจัดให้นำมานาบกับใบตองที่พับซ้อนกันไว้หลายๆ ชั้น เพื่อให้เกิดความชื้นและคลายความร้อนลง ทำเช่นนี้สลับกันไป ระหว่างที่รีดไปนานๆ
เมื่อถ่านมอดลงเป็นขี้เถ้า
ให้นำอุดเตาออกมาในบริเวณที่โล่งนอกบ้าน
ใช้พัดใบลานหรือที่เรียกกันว่า “พัดเตา” พัดให้ขี้เถ้ากระจายฟุ้งออกไปตามช่องหยักฟันปลา
บริเวณริมผนังอุดเตาตอนบนดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้ารีดต่อไปอีกนานๆ
แล้วเห็นว่าถ่านในอุดเตาคลายความร้อนและยุบลงไป
ก็เปิดฝาด้านบนเติมถ่านเผาไฟในเตาอั้งโล่เติมเข้าไปใหม่ให้เต็ม
อุดเตามีทั้งที่ทำด้วยทองเหลืองและทำด้วยเหล็ก แต่ที่ทำด้วยเหล็กเป็นอุดเตารุ่นหลัง
และมีขนาดเล็กลงกว่าอุดเตาทองเหลืองเกือบครึ่งหนึ่ง และเปลี่ยนคำเรียกขานจาก “อุดเตา”
เป็น “เตารีด” ใช้กันทั่วไปทุกครัวเรือนเป็นเวลาอยู่หลายสิบปี จากนั้นจึงเกิดมีเตารีดไฟฟ้าขึ้น เตารีดเหล็กที่ใช้ถ่านก็เสื่อมความนิยมลงไป
เพราะการใช้เตารีดไฟฟ้ารีดผ้ามีความสะดวกยิ่งกว่า
แต่ก็ยังมีหลงเหลือใช้กันอยู่บ้างตามชนบทที่ห่างไกลยังไม่มีโรงไฟฟ้าไปตั้ง
"อุดเตา" แบบที่ ๓
มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กหนาและหนัก
ตามแบบที่กาญจนาคพันธุ์ได้กล่าวถึงไว้ว่ามีใช้อยู่ที่ร้านซักรีดแถวตึกแถวท่าโรงยาเก่า ของคู่ผัวเมียชาวญี่ปุ่น เมื่อกว่า ๖๐ ปีมาแล้ว
อุดเตาหรือเตารีดทองเหลืองนี้
แต่เดิมนิยมใช้กันในร้านตัดเสื้อ
และร้านที่รับซักรีดในกรุงเทพฯ หรือเมืองพระนครในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนหรือชาวญี่ปุ่น ดังความที่กาญจนาคพันธุ์ (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
หรือขุนวิจิตรมาตราได้เล่าไว้ถึงเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กของท่าน ได้อย่างน่าสนใจและเห็นภาพลักษณ์ชัดเจน ดังนี้
“...เมื่อราว
๖๐ ปีมาแล้ว ที่ตึกแถวที่โรงยาเก่า แถวนั้นมีท่าอยู่สี่ท่า คือ “ท่าปากคลองตลาด”
เป็นแหล่งค้าขายใหญ่
ถัดมาเป็นท่าเรียกว่า “ท่ากลาง” เงียบสงัดไม่มีผู้คนเดิน
นอกจากผู้ที่อยู่ตึกแถวสองข้าง ถัดมาเป็น “ท่าโรงยาเก่า”
ถนนท่านี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนบ้านหม้อ ถนนเฟื่องนคร
ถนนเฟื่องนครจดวัดบวรนิเวศ
ผู้คนคึกคักมากหน่อย ถัดไปเป็น “ท่าวัดเลียบ”
ไม่มีผู้คนเลยก็ว่าได้
ที่ตึกแถวท่าโรงยาเก่านี้ตอนกลางๆ
มีญี่ปุ่นที่ตั้งร้านซักรีดดูเหมือนอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้น เตารีดผ้าที่ร้านนั้นเป็นเหล็กหนาทั้งแท่ง หัวแหลม
ท้ายตัดโตขนาดอุดเตาทองเหลืองทำเกลี้ยงๆ
คือต่อจากแผ่นเหล็กหนาขึ้นไปเป็นสองขา
มีเหล็กพาดที่มุมสองขาสำหรับเป็นหูจับเท่านั้นเอง
เตารีด (ซึ่งที่จริงไม่เป็นเตา แต่เป็นแผ่นเหล็กหนา)
นี้มีสามสี่อันในร้าน
ตั้งเตายาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ในเตาใส่ถ่านไว้ราวครึ่งหนึ่ง
ข้างบนเตามีเหล็กพาดเป็นตาราง
เวลารีดเขาติดถ่านไฟลุกแดงตลอด
เอาเตารีดวางบนตารางเรียงกันไปทั้งสี่อัน
เผาให้เหล็กนั้นร้อนแล้วก็จับหูยกมารีดเสื้อผ้า พอเหล็กจะเย็นลงหน่อย ก็เอาไปวางบนตารางที่เตาเอาอันที่ ๒
มารีดเปลี่ยนกันไปเป็นลำดับอย่างนี้เรื่อย
จนกระทั่งหมดเวลาวันหนึ่งๆ ก็ดับถ่านที่เตา ถึงรุ่งเช้าก็ติดถ่านเผาเตารีดไปใหม่ จนหมดเวลาทุกวัน
สมัยนั้นอยู่ที่ตึกสูงสามชั้นหัวมุม
เคยไปยืนดูเขารีดผ้าหลายครั้ง
ส่วนมากหญิงญี่ปุ่นที่เป็นเมียเป็นคนรีด
มีคนแถวนั้นและที่อื่นนำเสื้อผ้ามารีดมาก
เขาชมกันว่ารีดดีนัก
ค่ารีดเสื้อและของอื่นชิ้นละเท่าไรก็ลืม
แต่คงราวสัก ๒๕ สตางค์ สมัยนั้นเงินยังแพงนัก เงินบาทหนึ่งใช้ตามธรรมดาๆ
อย่างสบายเจ็ดวันก็ยังไม่หมด ค่ารีด ๒๕
สตางค์นับว่าแพงมาก
แต่เขารีดดีมีคนมาให้รีดมาก
และดูเหมือนเป็นญี่ปุ่นตั้งร้านซักรีดแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น นอกนั้นเป็นจีนตั้งร้านซักรีดมากหลายแห่ง
คนไทยไม่มีร้านซักรีดก็รีดแต่เสื้อชั้นนอกที่เป็นผ้าลินินขาวเท่านั้น กางเกงไม่มี
เพราะคนไทยนุ่งผ้าโจงกระเบน
จวบจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น
นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน
หันมาแต่งชุดสากลนิยมตามการรณรงค์ของผู้นำบ้านเมืองในยุค “มาลานำไทย”
ชุดสากลที่นิยมแต่งกันนั้น ตัดเย็บด้วยผ้าฝรั่งหรือผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ไม่ใช้ผ้าลินินสีขาวเช่นเดียวกับเสื้อราชปะแตนซึ่งซักรีดยาก
เสื้อผ้าชุดสากลสามารถซักและรีดเองที่บ้านได้ ร้านซักรีดแบบดั้งเดิมจึงค่อยๆ หมดความนิยมไป ยังคงมีแต่ร้านซักแห้ง ซึ่งรับซักรีดเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องการความประณีตและทนุถนอมเป็นพิเศษเท่านั้น
ผ้าที่รีดด้วยอุดเตา
มักเป็นผ้าที่ไม่มีสีหรือเป็นเสื้อผ้าสีขาว เช่น เสื้อกุยเฮงของผู้ชาย ผ้าปูที่นอน
หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นผ้าที่มีสีเข้ม สีทึมๆ เช่น เสื้อนอกของผู้ชาย เสื้อมิสกรีชั้นใน เป็นต้น โดยเวลารีดนั้นจะนำผ้าขาววางซ้อนไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงรีดเพื่อป้องกันสีของผ้าซีด สำหรับเครื่องนุ่งห่มของสตรี เช่น
ผ้าสไบแพร ผ้าแถบ หรือผ้านุ่งที่เป็นผ้าดอก ผ้าลาย
สีสันต่างๆ นั้น
จะไม่รีดด้วยอุดเตาเพราะความร้อนจากอุดเตาจะทำให้ความสดใสของสีผ้าลดลง
วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557
วันตรุษจีน 2557

วันตรุษจีน 2557
เทศกาลจีนมีอยู่มากมาย ตรุษจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557 เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียนสถาบันการศึกษาต่างปิดเทอมในช่วงนี้ เป็นปิดเรียนฤดูหนาว ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่ไม่สามารถหยุดงานได้ หน่วยงานห้างร้านต่างก็หยุดงาน 3-4 วัน เมื่อใกล้วันปีใหม่จีน ผู้คนต่างก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ อ่านต่อ
วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)