เตารีด
อุดเตา” เป็นภาษาไทยโบราณ ใช้เรียกเครื่องใช้ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า “เตารีด”
และเป็นเตารีดที่ใช้กันในสมัยก่อนเมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว อุดเตารูปทรงน่าสนุกกลุ่มนี้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก
ได้รับมอบจาก ดร.วินิจ
วินิจนัยภาค เมื่อปีพุทธศักราช
๒๕๓๓ ปัจจุบันได้ทำการอนุรักษ์และเก็บรักษา ณ อาคารคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กาญจนาภิเษก จังหวัดปทุมธานี
"อุดเตา" แบบที่ ๑
ทำด้วยเหล็กและทองเหลือง
บางอันมีการตกแต่งสลักบนฝาด้านบนเป็นรูปตัวไก่ และบางอันตกแต่งหูจับเป็นลวดลายอ่อนโค้ง งดงาม
ตามจินตนาการของช่างทำอุดเตา
อุดเตากลุ่มนี้ทำด้วยเหล็ก หรือทองเหลืองทั้งอัน
บางอันมีขนาดใหญ่กว่าเตารีดไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันประมาณ ๒-๓ เท่า
มีน้ำหนักมาก เด็กๆ ยกคนเดียวแทบจะไม่ไหว
การที่ทำให้มีน้ำหนักมากๆ
นั้นเพื่อให้น้ำหนักของตัวอุดเตากดทับลงบนผืนผ้าที่จะรีดให้เกิดความเรียบ
ผนังเตาทั้งสองข้างมีลักษณะโอบเข้าไปเป็นหัวรูปทรงแหลมๆ
ตอนบนบริเวณริมหรือขอบทำเป็นลายหยักรูปฟันปลาไปตลอดแนว สูงประมาณ ๓ นิ้ว เพื่อระบายความร้อนจากถ่านก้อนกลมๆ ที่เผาไฟจนร้อนซึ่งบรรจุอยู่ภายในอุดเตา ความร้อนจากถ่านเผาไฟจะทำให้ผ้าเรียบ เช่นเดียวกับความร้อนจากขดลวดไฟฟ้าที่อยู่ภายในเตารีดไฟฟ้าในปัจจุบัน
ฝาด้านบนนั้นความกว้าง ยาว แหลม ท้ายตัดเท่าตัวอุดเตา ตรงบริเวณท้ายตัดจะมีบานพับอันเล็กๆ
ติดอยู่
มีหูขนาดค่อนข้างยาวและสูงไว้สำหรับเปิดปิดฝาได้ ยามเมื่อต้องการเติมถ่านเวลาถ่านยุบไปหลังจากรีดไปแล้วนานๆ
บริเวณหูจับจะหุ้มด้วยไม้ที่เหลาจนกลมกลึงมีขนาดพอเหมาะกับมือ
เพื่อเป็นฉนวนป้องกันความร้อนจากเหล็กที่แผ่ขึ้นมาขณะรีดผ้า เมื่อเวลาจะรีดผ้าโดยใช้อุดเตา
จะต้องมีเตาอั้งโล่เผาก้อนถ่านให้ลุกแดงตลอดเวลา
ตั้งอยู่ข้างๆ ไว้สำหรับคีบใส่ภายในอุดเตา
ถ่านที่ใช้สำหรับรีดผ้านั้น
มีความแตกต่างกับถ่านหุงข้าวที่ใช้กับเตาอั้งโล่ หรือเตาเชิงกรานทั่วๆ
ไป ถ่านที่ใช้หุงข้าวจะมีลักษณะเป็นท่อนยาวๆ เมื่อนำมาเผาไฟมักจะแตกเป็นลูกไฟเล็กๆ
กระเด็นออกมา
รวมทั้งเมื่อมอดแล้วมีขี้เถ้ามาก
แต่สำหรับถ่านรีดผ้าจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ เวลานำมาเผาไฟลูกไฟจะไม่แตกกระจาย ตลอดจนมีขี้เถ้าน้อยกว่าถ่านหุงข้าวมาก ถ่านรีดผ้าส่วนมากมักทำจากไม้โกงกาง
ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นเจริญเติบโตบริเวณป่าชายเลน นิยมนำมาเผาทำถ่านเพราะจะได้ถ่านที่มีคุณภาพดี
"อุดเตา" แบบที่ ๒ มีพวยระบายความร้อนอยู่ด้านบนของหัวเตา
อุดเตาแบบนี้จะไม่มีช่องระบายความร้อนเป็นช่องฟันปลาเหมือนกับแบบแรก
วิธีรีดผ้าโดยใช้อุดเตานั้น
เริ่มแรกก็จะติดไฟถ่านที่เตาอั้งโล่
เมื่อถ่านระอุเป็นไฟสีแดงดีแล้ว
ใช้คีมเหล็กคีบออกมาใส่ภายในอุดเตาจนเต็ม
แล้วปิดฝาขัดสลักให้ติดกับตัวอุดเตา ทิ้งให้ร้อนสักครู่จึงรีด
เมื่ออุดเตาเริ่มร้อนจัดให้นำมานาบกับใบตองที่พับซ้อนกันไว้หลายๆ ชั้น เพื่อให้เกิดความชื้นและคลายความร้อนลง ทำเช่นนี้สลับกันไป ระหว่างที่รีดไปนานๆ
เมื่อถ่านมอดลงเป็นขี้เถ้า
ให้นำอุดเตาออกมาในบริเวณที่โล่งนอกบ้าน
ใช้พัดใบลานหรือที่เรียกกันว่า “พัดเตา” พัดให้ขี้เถ้ากระจายฟุ้งออกไปตามช่องหยักฟันปลา
บริเวณริมผนังอุดเตาตอนบนดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้ารีดต่อไปอีกนานๆ
แล้วเห็นว่าถ่านในอุดเตาคลายความร้อนและยุบลงไป
ก็เปิดฝาด้านบนเติมถ่านเผาไฟในเตาอั้งโล่เติมเข้าไปใหม่ให้เต็ม
อุดเตามีทั้งที่ทำด้วยทองเหลืองและทำด้วยเหล็ก แต่ที่ทำด้วยเหล็กเป็นอุดเตารุ่นหลัง
และมีขนาดเล็กลงกว่าอุดเตาทองเหลืองเกือบครึ่งหนึ่ง และเปลี่ยนคำเรียกขานจาก “อุดเตา”
เป็น “เตารีด” ใช้กันทั่วไปทุกครัวเรือนเป็นเวลาอยู่หลายสิบปี จากนั้นจึงเกิดมีเตารีดไฟฟ้าขึ้น เตารีดเหล็กที่ใช้ถ่านก็เสื่อมความนิยมลงไป
เพราะการใช้เตารีดไฟฟ้ารีดผ้ามีความสะดวกยิ่งกว่า
แต่ก็ยังมีหลงเหลือใช้กันอยู่บ้างตามชนบทที่ห่างไกลยังไม่มีโรงไฟฟ้าไปตั้ง
"อุดเตา" แบบที่ ๓
มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กหนาและหนัก
ตามแบบที่กาญจนาคพันธุ์ได้กล่าวถึงไว้ว่ามีใช้อยู่ที่ร้านซักรีดแถวตึกแถวท่าโรงยาเก่า ของคู่ผัวเมียชาวญี่ปุ่น เมื่อกว่า ๖๐ ปีมาแล้ว
อุดเตาหรือเตารีดทองเหลืองนี้
แต่เดิมนิยมใช้กันในร้านตัดเสื้อ
และร้านที่รับซักรีดในกรุงเทพฯ หรือเมืองพระนครในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนหรือชาวญี่ปุ่น ดังความที่กาญจนาคพันธุ์ (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
หรือขุนวิจิตรมาตราได้เล่าไว้ถึงเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กของท่าน ได้อย่างน่าสนใจและเห็นภาพลักษณ์ชัดเจน ดังนี้
“...เมื่อราว
๖๐ ปีมาแล้ว ที่ตึกแถวที่โรงยาเก่า แถวนั้นมีท่าอยู่สี่ท่า คือ “ท่าปากคลองตลาด”
เป็นแหล่งค้าขายใหญ่
ถัดมาเป็นท่าเรียกว่า “ท่ากลาง” เงียบสงัดไม่มีผู้คนเดิน
นอกจากผู้ที่อยู่ตึกแถวสองข้าง ถัดมาเป็น “ท่าโรงยาเก่า”
ถนนท่านี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนบ้านหม้อ ถนนเฟื่องนคร
ถนนเฟื่องนครจดวัดบวรนิเวศ
ผู้คนคึกคักมากหน่อย ถัดไปเป็น “ท่าวัดเลียบ”
ไม่มีผู้คนเลยก็ว่าได้
ที่ตึกแถวท่าโรงยาเก่านี้ตอนกลางๆ
มีญี่ปุ่นที่ตั้งร้านซักรีดดูเหมือนอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้น เตารีดผ้าที่ร้านนั้นเป็นเหล็กหนาทั้งแท่ง หัวแหลม
ท้ายตัดโตขนาดอุดเตาทองเหลืองทำเกลี้ยงๆ
คือต่อจากแผ่นเหล็กหนาขึ้นไปเป็นสองขา
มีเหล็กพาดที่มุมสองขาสำหรับเป็นหูจับเท่านั้นเอง
เตารีด (ซึ่งที่จริงไม่เป็นเตา แต่เป็นแผ่นเหล็กหนา)
นี้มีสามสี่อันในร้าน
ตั้งเตายาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ในเตาใส่ถ่านไว้ราวครึ่งหนึ่ง
ข้างบนเตามีเหล็กพาดเป็นตาราง
เวลารีดเขาติดถ่านไฟลุกแดงตลอด
เอาเตารีดวางบนตารางเรียงกันไปทั้งสี่อัน
เผาให้เหล็กนั้นร้อนแล้วก็จับหูยกมารีดเสื้อผ้า พอเหล็กจะเย็นลงหน่อย ก็เอาไปวางบนตารางที่เตาเอาอันที่ ๒
มารีดเปลี่ยนกันไปเป็นลำดับอย่างนี้เรื่อย
จนกระทั่งหมดเวลาวันหนึ่งๆ ก็ดับถ่านที่เตา ถึงรุ่งเช้าก็ติดถ่านเผาเตารีดไปใหม่ จนหมดเวลาทุกวัน
สมัยนั้นอยู่ที่ตึกสูงสามชั้นหัวมุม
เคยไปยืนดูเขารีดผ้าหลายครั้ง
ส่วนมากหญิงญี่ปุ่นที่เป็นเมียเป็นคนรีด
มีคนแถวนั้นและที่อื่นนำเสื้อผ้ามารีดมาก
เขาชมกันว่ารีดดีนัก
ค่ารีดเสื้อและของอื่นชิ้นละเท่าไรก็ลืม
แต่คงราวสัก ๒๕ สตางค์ สมัยนั้นเงินยังแพงนัก เงินบาทหนึ่งใช้ตามธรรมดาๆ
อย่างสบายเจ็ดวันก็ยังไม่หมด ค่ารีด ๒๕
สตางค์นับว่าแพงมาก
แต่เขารีดดีมีคนมาให้รีดมาก
และดูเหมือนเป็นญี่ปุ่นตั้งร้านซักรีดแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น นอกนั้นเป็นจีนตั้งร้านซักรีดมากหลายแห่ง
คนไทยไม่มีร้านซักรีดก็รีดแต่เสื้อชั้นนอกที่เป็นผ้าลินินขาวเท่านั้น กางเกงไม่มี
เพราะคนไทยนุ่งผ้าโจงกระเบน
จวบจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น
นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน
หันมาแต่งชุดสากลนิยมตามการรณรงค์ของผู้นำบ้านเมืองในยุค “มาลานำไทย”
ชุดสากลที่นิยมแต่งกันนั้น ตัดเย็บด้วยผ้าฝรั่งหรือผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ไม่ใช้ผ้าลินินสีขาวเช่นเดียวกับเสื้อราชปะแตนซึ่งซักรีดยาก
เสื้อผ้าชุดสากลสามารถซักและรีดเองที่บ้านได้ ร้านซักรีดแบบดั้งเดิมจึงค่อยๆ หมดความนิยมไป ยังคงมีแต่ร้านซักแห้ง ซึ่งรับซักรีดเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องการความประณีตและทนุถนอมเป็นพิเศษเท่านั้น
ผ้าที่รีดด้วยอุดเตา
มักเป็นผ้าที่ไม่มีสีหรือเป็นเสื้อผ้าสีขาว เช่น เสื้อกุยเฮงของผู้ชาย ผ้าปูที่นอน
หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นผ้าที่มีสีเข้ม สีทึมๆ เช่น เสื้อนอกของผู้ชาย เสื้อมิสกรีชั้นใน เป็นต้น โดยเวลารีดนั้นจะนำผ้าขาววางซ้อนไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วจึงรีดเพื่อป้องกันสีของผ้าซีด สำหรับเครื่องนุ่งห่มของสตรี เช่น
ผ้าสไบแพร ผ้าแถบ หรือผ้านุ่งที่เป็นผ้าดอก ผ้าลาย
สีสันต่างๆ นั้น
จะไม่รีดด้วยอุดเตาเพราะความร้อนจากอุดเตาจะทำให้ความสดใสของสีผ้าลดลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น