วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เตารีด

เตารีด


อุดเตาเป็นภาษาไทยโบราณ  ใช้เรียกเครื่องใช้ที่ปัจจุบันเราเรียกว่า เตารีดและเป็นเตารีดที่ใช้กันในสมัยก่อนเมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว  อุดเตารูปทรงน่าสนุกกลุ่มนี้  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  กาญจนาภิเษก  ได้รับมอบจาก ดร.วินิจ  วินิจนัยภาค  เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๓ ปัจจุบันได้ทำการอนุรักษ์และเก็บรักษา ณ อาคารคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กาญจนาภิเษก จังหวัดปทุมธานี 


"อุดเตา" แบบที่ ๑ ทำด้วยเหล็กและทองเหลือง  บางอันมีการตกแต่งสลักบนฝาด้านบนเป็นรูปตัวไก่  และบางอันตกแต่งหูจับเป็นลวดลายอ่อนโค้ง  งดงาม  ตามจินตนาการของช่างทำอุดเตา

         อุดเตากลุ่มนี้ทำด้วยเหล็ก หรือทองเหลืองทั้งอัน  บางอันมีขนาดใหญ่กว่าเตารีดไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันประมาณ ๒-๓ เท่า มีน้ำหนักมาก เด็กๆ ยกคนเดียวแทบจะไม่ไหว  การที่ทำให้มีน้ำหนักมากๆ นั้นเพื่อให้น้ำหนักของตัวอุดเตากดทับลงบนผืนผ้าที่จะรีดให้เกิดความเรียบ  ผนังเตาทั้งสองข้างมีลักษณะโอบเข้าไปเป็นหัวรูปทรงแหลมๆ  ตอนบนบริเวณริมหรือขอบทำเป็นลายหยักรูปฟันปลาไปตลอดแนว  สูงประมาณ ๓ นิ้ว  เพื่อระบายความร้อนจากถ่านก้อนกลมๆ  ที่เผาไฟจนร้อนซึ่งบรรจุอยู่ภายในอุดเตา  ความร้อนจากถ่านเผาไฟจะทำให้ผ้าเรียบ  เช่นเดียวกับความร้อนจากขดลวดไฟฟ้าที่อยู่ภายในเตารีดไฟฟ้าในปัจจุบัน

         ฝาด้านบนนั้นความกว้าง ยาว แหลม ท้ายตัดเท่าตัวอุดเตา  ตรงบริเวณท้ายตัดจะมีบานพับอันเล็กๆ ติดอยู่  มีหูขนาดค่อนข้างยาวและสูงไว้สำหรับเปิดปิดฝาได้  ยามเมื่อต้องการเติมถ่านเวลาถ่านยุบไปหลังจากรีดไปแล้วนานๆ  บริเวณหูจับจะหุ้มด้วยไม้ที่เหลาจนกลมกลึงมีขนาดพอเหมาะกับมือ  เพื่อเป็นฉนวนป้องกันความร้อนจากเหล็กที่แผ่ขึ้นมาขณะรีดผ้า  เมื่อเวลาจะรีดผ้าโดยใช้อุดเตา จะต้องมีเตาอั้งโล่เผาก้อนถ่านให้ลุกแดงตลอดเวลา  ตั้งอยู่ข้างๆ ไว้สำหรับคีบใส่ภายในอุดเตา

         ถ่านที่ใช้สำหรับรีดผ้านั้น  มีความแตกต่างกับถ่านหุงข้าวที่ใช้กับเตาอั้งโล่ หรือเตาเชิงกรานทั่วๆ ไป  ถ่านที่ใช้หุงข้าวจะมีลักษณะเป็นท่อนยาวๆ  เมื่อนำมาเผาไฟมักจะแตกเป็นลูกไฟเล็กๆ กระเด็นออกมา  รวมทั้งเมื่อมอดแล้วมีขี้เถ้ามาก  แต่สำหรับถ่านรีดผ้าจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ  เวลานำมาเผาไฟลูกไฟจะไม่แตกกระจาย  ตลอดจนมีขี้เถ้าน้อยกว่าถ่านหุงข้าวมาก  ถ่านรีดผ้าส่วนมากมักทำจากไม้โกงกาง  ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นเจริญเติบโตบริเวณป่าชายเลน  นิยมนำมาเผาทำถ่านเพราะจะได้ถ่านที่มีคุณภาพดี


"อุดเตา" แบบที่ ๒ มีพวยระบายความร้อนอยู่ด้านบนของหัวเตา  อุดเตาแบบนี้จะไม่มีช่องระบายความร้อนเป็นช่องฟันปลาเหมือนกับแบบแรก

         วิธีรีดผ้าโดยใช้อุดเตานั้น  เริ่มแรกก็จะติดไฟถ่านที่เตาอั้งโล่  เมื่อถ่านระอุเป็นไฟสีแดงดีแล้ว  ใช้คีมเหล็กคีบออกมาใส่ภายในอุดเตาจนเต็ม  แล้วปิดฝาขัดสลักให้ติดกับตัวอุดเตา ทิ้งให้ร้อนสักครู่จึงรีด  เมื่ออุดเตาเริ่มร้อนจัดให้นำมานาบกับใบตองที่พับซ้อนกันไว้หลายๆ ชั้น  เพื่อให้เกิดความชื้นและคลายความร้อนลง  ทำเช่นนี้สลับกันไป ระหว่างที่รีดไปนานๆ เมื่อถ่านมอดลงเป็นขี้เถ้า  ให้นำอุดเตาออกมาในบริเวณที่โล่งนอกบ้าน  ใช้พัดใบลานหรือที่เรียกกันว่า พัดเตาพัดให้ขี้เถ้ากระจายฟุ้งออกไปตามช่องหยักฟันปลา บริเวณริมผนังอุดเตาตอนบนดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้ารีดต่อไปอีกนานๆ แล้วเห็นว่าถ่านในอุดเตาคลายความร้อนและยุบลงไป  ก็เปิดฝาด้านบนเติมถ่านเผาไฟในเตาอั้งโล่เติมเข้าไปใหม่ให้เต็ม

         อุดเตามีทั้งที่ทำด้วยทองเหลืองและทำด้วยเหล็ก  แต่ที่ทำด้วยเหล็กเป็นอุดเตารุ่นหลัง  และมีขนาดเล็กลงกว่าอุดเตาทองเหลืองเกือบครึ่งหนึ่ง  และเปลี่ยนคำเรียกขานจาก อุดเตาเป็น เตารีดใช้กันทั่วไปทุกครัวเรือนเป็นเวลาอยู่หลายสิบปี  จากนั้นจึงเกิดมีเตารีดไฟฟ้าขึ้น  เตารีดเหล็กที่ใช้ถ่านก็เสื่อมความนิยมลงไป เพราะการใช้เตารีดไฟฟ้ารีดผ้ามีความสะดวกยิ่งกว่า  แต่ก็ยังมีหลงเหลือใช้กันอยู่บ้างตามชนบทที่ห่างไกลยังไม่มีโรงไฟฟ้าไปตั้ง


"อุดเตา" แบบที่ ๓ มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กหนาและหนัก  ตามแบบที่กาญจนาคพันธุ์ได้กล่าวถึงไว้ว่ามีใช้อยู่ที่ร้านซักรีดแถวตึกแถวท่าโรงยาเก่า  ของคู่ผัวเมียชาวญี่ปุ่น  เมื่อกว่า ๖๐ ปีมาแล้ว

         อุดเตาหรือเตารีดทองเหลืองนี้  แต่เดิมนิยมใช้กันในร้านตัดเสื้อ  และร้านที่รับซักรีดในกรุงเทพฯ หรือเมืองพระนครในสมัยนั้น  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนหรือชาวญี่ปุ่น  ดังความที่กาญจนาคพันธุ์ (สง่า  กาญจนาคพันธุ์) หรือขุนวิจิตรมาตราได้เล่าไว้ถึงเรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กของท่าน  ได้อย่างน่าสนใจและเห็นภาพลักษณ์ชัดเจน  ดังนี้
         “...เมื่อราว ๖๐ ปีมาแล้ว  ที่ตึกแถวที่โรงยาเก่า  แถวนั้นมีท่าอยู่สี่ท่า คือ ท่าปากคลองตลาดเป็นแหล่งค้าขายใหญ่  ถัดมาเป็นท่าเรียกว่า ท่ากลางเงียบสงัดไม่มีผู้คนเดิน นอกจากผู้ที่อยู่ตึกแถวสองข้าง  ถัดมาเป็น ท่าโรงยาเก่าถนนท่านี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนบ้านหม้อ  ถนนเฟื่องนคร  ถนนเฟื่องนครจดวัดบวรนิเวศ  ผู้คนคึกคักมากหน่อย  ถัดไปเป็น ท่าวัดเลียบไม่มีผู้คนเลยก็ว่าได้  ที่ตึกแถวท่าโรงยาเก่านี้ตอนกลางๆ มีญี่ปุ่นที่ตั้งร้านซักรีดดูเหมือนอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้น  เตารีดผ้าที่ร้านนั้นเป็นเหล็กหนาทั้งแท่ง  หัวแหลม  ท้ายตัดโตขนาดอุดเตาทองเหลืองทำเกลี้ยงๆ  คือต่อจากแผ่นเหล็กหนาขึ้นไปเป็นสองขา  มีเหล็กพาดที่มุมสองขาสำหรับเป็นหูจับเท่านั้นเอง

         เตารีด (ซึ่งที่จริงไม่เป็นเตา แต่เป็นแผ่นเหล็กหนา) นี้มีสามสี่อันในร้าน  ตั้งเตายาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ในเตาใส่ถ่านไว้ราวครึ่งหนึ่ง  ข้างบนเตามีเหล็กพาดเป็นตาราง  เวลารีดเขาติดถ่านไฟลุกแดงตลอด  เอาเตารีดวางบนตารางเรียงกันไปทั้งสี่อัน  เผาให้เหล็กนั้นร้อนแล้วก็จับหูยกมารีดเสื้อผ้า  พอเหล็กจะเย็นลงหน่อย  ก็เอาไปวางบนตารางที่เตาเอาอันที่ ๒ มารีดเปลี่ยนกันไปเป็นลำดับอย่างนี้เรื่อย  จนกระทั่งหมดเวลาวันหนึ่งๆ ก็ดับถ่านที่เตา  ถึงรุ่งเช้าก็ติดถ่านเผาเตารีดไปใหม่  จนหมดเวลาทุกวัน

         สมัยนั้นอยู่ที่ตึกสูงสามชั้นหัวมุม  เคยไปยืนดูเขารีดผ้าหลายครั้ง  ส่วนมากหญิงญี่ปุ่นที่เป็นเมียเป็นคนรีด  มีคนแถวนั้นและที่อื่นนำเสื้อผ้ามารีดมาก  เขาชมกันว่ารีดดีนัก  ค่ารีดเสื้อและของอื่นชิ้นละเท่าไรก็ลืม  แต่คงราวสัก ๒๕ สตางค์ สมัยนั้นเงินยังแพงนัก  เงินบาทหนึ่งใช้ตามธรรมดาๆ อย่างสบายเจ็ดวันก็ยังไม่หมด  ค่ารีด ๒๕ สตางค์นับว่าแพงมาก  แต่เขารีดดีมีคนมาให้รีดมาก และดูเหมือนเป็นญี่ปุ่นตั้งร้านซักรีดแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น  นอกนั้นเป็นจีนตั้งร้านซักรีดมากหลายแห่ง  คนไทยไม่มีร้านซักรีดก็รีดแต่เสื้อชั้นนอกที่เป็นผ้าลินินขาวเท่านั้น  กางเกงไม่มี  เพราะคนไทยนุ่งผ้าโจงกระเบน

         จวบจนกระทั่งในปีพุทธศักราช ๒๔๗๕  เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น  นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย  เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน  หันมาแต่งชุดสากลนิยมตามการรณรงค์ของผู้นำบ้านเมืองในยุค มาลานำไทยชุดสากลที่นิยมแต่งกันนั้น ตัดเย็บด้วยผ้าฝรั่งหรือผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ไม่ใช้ผ้าลินินสีขาวเช่นเดียวกับเสื้อราชปะแตนซึ่งซักรีดยาก  เสื้อผ้าชุดสากลสามารถซักและรีดเองที่บ้านได้  ร้านซักรีดแบบดั้งเดิมจึงค่อยๆ หมดความนิยมไป  ยังคงมีแต่ร้านซักแห้ง  ซึ่งรับซักรีดเฉพาะเสื้อผ้าที่ต้องการความประณีตและทนุถนอมเป็นพิเศษเท่านั้น
         ผ้าที่รีดด้วยอุดเตา  มักเป็นผ้าที่ไม่มีสีหรือเป็นเสื้อผ้าสีขาว เช่น เสื้อกุยเฮงของผู้ชาย  ผ้าปูที่นอน  หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นผ้าที่มีสีเข้ม สีทึมๆ เช่น เสื้อนอกของผู้ชาย  เสื้อมิสกรีชั้นใน เป็นต้น  โดยเวลารีดนั้นจะนำผ้าขาววางซ้อนไว้ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง  แล้วจึงรีดเพื่อป้องกันสีของผ้าซีด  สำหรับเครื่องนุ่งห่มของสตรี เช่น ผ้าสไบแพร  ผ้าแถบ  หรือผ้านุ่งที่เป็นผ้าดอก  ผ้าลาย  สีสันต่างๆ นั้น  จะไม่รีดด้วยอุดเตาเพราะความร้อนจากอุดเตาจะทำให้ความสดใสของสีผ้าลดลง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น